บันทึกการเดินทางรอบยุโรปของผู้หญิงเอเชียตัวเล็กๆ
ตอนที่ 13 Berlin, Germany (เบอร์ลิน, เยอรมัน)
44 วัน 20 เมือง 16 ประเทศ
ตอนที่ 13 จาก 17
สารบัญของบันทึก
1. เตรียมความพร้อม2. Barcelona, Spain (บาร์เซโลน่า, สเปน) [3 คืน]
3. Nice, France & Monaco (นีซ, ฝรั่งเศส และราชรัฐโมนาโก) [3 คืน]
4. Milan, Italy & Lugano Switzerland (มิลาน, อิตาลี และลูกาโน่ สวิสเซอร์แลนด์) [2 คืน]
5. Venice, Italy (เวนิส, อิตาลี) [2 คืน]
6. Ljubljana & Bled, Slovenia (ลูบลิยานา และเบลด, สโลวีเนีย) [3 คืน]
7. Zagreb, Croatia (ซาเกร็บ, โครเอเชีย) [2 คืน]
8. Budapest, Hungary (บูดาเปสต์, ฮังการี) [3 คืน]
9. Vienna, Austria & Bratislava, Slovakia (เวียนนา, ออสเตรีย และบราติสลาวา, สโลวาเกีย) [3 คืน]
10. Prague, Czech Republic (ปราก, สาธารณรัฐเช็ก) [4 คืน]
11. Kraków, Poland (คราคูฟ, โปแลนด์) [6 คืน]
12. Morskie Oko, Zakopane, Poland (ทะเลสาบมอร์สเกี๊ยะโอโกะ สโกเปีย, โปแลนด์) [0 คืน]
13. Berlin, Germany (เบอร์ลิน, เยอรมัน) [3 คืน]
14. Hamburg, Germany (ฮัมบูร์ก, เยอรมัน) [3 คืน]
15. Amsterdam, Netherlands (อัมสเตอร์ดัม, เนเธอร์แลนด์) [2 คืน]
16. Antwerp, Belgium (แอนต์เวิร์ป, เบลเยี่ยม) [2 คืน]
17. Luxembourg City, Luxembourg (ลักเซมเบิร์ก, ราชรัฐลักเซมเบิร์ก) [2 คืน]
อยากให้อ่านก่อน
บันทึกนี้เล่าโดย K.Natri เป็นการเล่าจากประสบการณ์ตรงของเราเอง โดยการเล่าเรื่องได้ใช้ความรู้สึก ความคิดเห็นของเราแต่งเติมเข้าไปในเนื้อหา เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่าเรื่อง นอกจากนี้เราได้รวบรวมข้อมูลบางส่วนที่ได้มาจากการอ่านในเว็บไซต์ต่างๆ ตามบอร์ดในสถานที่จริง และจากการฟังมาจากไกด์ รวมทั้งคนท้องถิ่น เพื่อนำมาบรรยายให้ดูมีความรู้ขึ้น 😁
สำหรับการท่องเที่ยวยุโรปครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของเราเลยที่ได้เที่ยวประเทศในยุโรป (ไม่รวมฝรั่งเศสที่มาเรียนต่อในยุคโควิด) และเป็นการเดินทางคนเดียวตั้งแต่ครั้งแรกเลย ดังนั้นเรายังไม่มีประสบการณ์ท่องเที่ยวในยุโรปดี แต่เราพยายามเก็บทุกที่ที่ไปได้และอยากไป เพราะไม่รู้จะมีโอกาสได้เที่ยวแบบนี้อีกเมื่อไร สำหรับทริปนี้เราไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวช่วงตอนกลางคืน เราเป็นแค่ผู้หญิงเอเชียตัวเล็กคนเดียว ยังไม่กล้ามากพอ ขอเซฟตัวเองก่อนนะ และในทริปนี้เราพยายามเลือกไปสถานที่ธรรมชาติมากกว่าสายมิวเซียม เพราะเป็นคนไม่อินกับมิวเซียมและศิลปะนัก ค่อนข้างแนวสายลุยๆ มากกว่า 💚
มุ่งสู่ Berlin จาก Kraków
เดินทางสู่เบอร์ลิน เมืองหลวงของประเทศเยอรมัน เรานั่งรถไฟใช้ Eurail Pass นั่งจากสถานี Krakow Glowny ตอน 10.13 น. ถึงสถานี Berlin Hbf ตอน 17:17 น. ใช้เวลาไป 7 ชั่วโมง 4 นาที แอบปวดตัวเลย 😫 มีจอดสถานี Frankfurt an der Oder นานพอสมควร เป็นสถานีแรกที่ข้ามชายแดนจากโปแลนด์มา จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาบนรถไฟ และขอตรวจพาสปอร์ต กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาถามอาการว่ามีป่วยอะไรไหม เพราะยังอยู่ในช่วงมาตราการโควิด แล้วก็มีแจ้งถุงขนมให้ฟรีด้วย เสียดายไม่ได้รับมา เขิน 😅
เมืองเบอร์ลินเป็นเมืองที่ใหญ่มาก มีอะไรให้ชมหลายอย่าง สำหรับใครที่มีแฟนพันธุ์แท้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะต้องถูกใจแน่ๆ เพราะมีพิพิธภัณฑ์ งานแสดง ทั้งแบบฟรีและไม่ฟรี ที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอะมากๆ ทั่วเมืองเลย สำหรับเรา เราก็ชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับเป็นแฟนพันธุ์ และไม่ได้เป็นสายมิวเซียม ดังนั้นเมืองนี้เราจะเน้นเดินชมงานสายฟรี และสายกิน เพราะเราชอบไส้กรอกกับเบียร์ที่นี่มากๆ คิดถึง Currywurst 💓 เลย
ระหว่างที่เราเที่ยวในเมืองเบอร์ลิน เป็นช่วงเวลาที่เหงาเลยแระ เพราะเราไม่มีเพื่อนเที่ยว เพื่อนคุยเลยในเมืองนี้ รูทเมทในห้องเรามากันเป็นกลุ่มเลย เสียงดังมากๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เราก็เที่ยวเดินทางคนเดียวมาตลอดทริป เราสนุกกับการเจอเมืองใหม่ เจอวัฒนธรรมใหม่ ของกินใหม่ ส่วนเรื่องรูทเมทในห้อง มันคือโชคชะตาของนักเดินท่องคนเดียว ว่าเราจะเจอคนที่เข้ากับเราได้ไหม จะได้พบเจอเพื่อนร่วมทางกันไหม
เราพักที่ไหนใน Berlin
เราพัก 3 คืน จากวันที่ 20 ถึง 23 พฤษภาคม ที่ St Christopher's Berlin Mitte ราคารวมภาษี 73.11 Euro แบบ Female dorm 8 เตียง เป็นที่พักที่ไม่ชอบเลย ไม่เหมาะกับนักเดินทางคนเดียว❌ เพราะที่พักนี่เป็นแบบสไตล์โฮลเทลแบบปาร์ตี้ ชั้นล่างเป็นบาร์นั่ง แล้วไม่มีห้องส่วนกลางเลย ห้องครัวก็ไม่มีเช่นกัน ทำให้เราไม่สามารถหาโอกาสพบเจอ พูดคุย กับคนที่พักคนละห้องกับเราได้ ดังนั้นถ้าคนที่พักห้องเดียวกับเรา ไม่ได้เข้ากับเราได้ เราก็จะไม่มีโอกาสได้หาเพื่อนจากที่พักเลย
ที่พักมีห้องน้ำในตัวเลย แยกห้องสุขากับห้องอาบน้ำ เราไม่ชอบห้องน้ำเลย เพราะอาบอยู่ดีๆ แล้วน้ำร้อนมาก แล้วต้องคอยกดด้วย เพราะกดรอบนึงน้ำจะไหลประมาณ 1 นาที แล้วก็กดใหม่ มันก็แอบดีตรงประหยัดน้ำได้ดี แต่ว่าบางทีระบบน้ำร้อนน้ำเย็นก็ทำงานได้ไม่ดี
ที่ห้องส่วนกลางมีแค่ร้านอาหารและบาร์ของร้าน ซึ่งคนนอกก็เข้าออกได้ ดังนั้นมันไม่ได้มีความเป็นส่วนตัว ประหยัดเงินจากการทำอาหารก็ไม่ได้ เพราะไม่มีครัวให้เราใช้ แต่ถ้าจะซื้ออาหารของที่โฮสเทลก็มีขาย มีส่วนลดสำหรับคนพักอยู่ที่ 25%
เราไปไหนมาบ้างใน Berlin
Tränenpalast เราไม่ใช่สายมิวเซียม แต่ถ้าฟรีเราก็ไป 😁 ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์มีชั้นเดียว ไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่ก็มีอะไรให้เราได้เดินดู จะมี Audio ทุกจุด และมี Video ให้ได้ชมด้วย แต่ก่อนบริเวณนี้เคยเป็นจุดผ่านแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก แต่ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีนิทรรศการเกี่ยวกับกรุงเบอร์ลินในช่วงสงครามเย็นและการรวมชาติเยอรมัน
Reichstag Building เราก็เดินต่อมายังอาคารรัฐสภาล่างของสภานิติบัญญัติแห่งชาติของเยอรมนี เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเบอร์ลิน สามารถเข้าชมโดมอาคารได้ฟรี ด้านบนจะเห็นทัศนียภาพอันตระการตาของรัฐสภาและเขตการปกครอง แต่ว่าต้องลงทะเบียนล่วงหน้า หรือมาต่อแถวลงทะเบียน
คนต่อแถวเยอะมากกกก จนเราท้อ ไม่ต่อแล้ว เพราะหิวมากด้วย มันเที่ยงแล้ว 😅
Tiergarten ด้านข้างอาคารรัฐสภา มีสวนสาธารณะที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในเบอร์ลิน สวนมีขนาดใหญ่มากๆ เราเดินเพลิน กินขนมไปเรื่อยๆ ร่มสบาย
Brandenburg Gate ถ้ามาเบอร์ลินแล้ว ยังไงก็ต้องมาถ่ายรูปกับประตูบรันเดินบวร์ค เป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงเบอร์ลิน📌 เราเดินวนไปมาแถวหน้าประตูสักพักใหญ่ๆ เลย เพราะกำลังส่องๆ ว่าจะให้ใครถ่ายรูปให้เราได้บ้าง บริเวณนี้เราตั้งกล้องไม่ได้เลย เพราะคนเยอะมาก กลัวกล้องหาย
The holocaust memorial ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตูบรันเดินบวร์ค เดินมาเรื่อยๆ จะอยู่ตรงข้ามสวนสาธารณะ เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงและเตือนสติจากเหตุการณ์ที่ชาวยิวที่ถูกสังหาร บริเวณนี้จะเป็นแท่งคอนกรีตจำนวน 2,711 แท่ง วางขนาดสูงต่ำ แตกต่างกันไป ดูมีมิติมากๆ
Mall of Berlin เป็นห้างขนาดใหญ่ มีหลายชั้น เรามานี่ไม่ได้จะมาซื้ออะไร แค่แวะมาร้านขาย currywurst น่าลองกิน 55555 😋 เรากิน currywurst หลายร้านมาก เดี๋ยวเราจะบอกร้านที่ดีที่สุดคือร้านไหน (เลื่อนลงไปอ่านด้านล่างต่อ 55555)
Berlin Wall เดินต่อมาถึงกำแพงเบอร์ลิน เชื่อว่าทุกคนรู้จักแน่นอน ไม่มากก็น้อย แต่มีเรื่องนึงที่เราเพิ่งรู้เลย คือ กำแพงฝั่งตะวันตกจะมีภาพวาดสีสันสดใส เนื่องจากศิลปินชาวเยอรมันตะวันตกมีอิสระในการแสดงออกโดยใช้สื่อนี้ แต่ฝั่งตะวันออกจะเปลือยเปล่าเพราะผู้คนถูกห้ามมิให้เข้าใกล้กำแพง บริเวณที่เราไป มีบอร์ดภาษาอังกฤษให้เราได้อ่านข้อมูล ใกล้ๆ จะมีร้านสตรีทฟู้ด ชื่อว่า Curry at the Wall Berlin Mitte มันดีมากๆ โดยเฉพาะ Hot dog ที่มีเอกลักษณ์ คือ ไส้กรอก bratwurst ที่ยาวมาก จนขนมปังโตตามไม่ทัน 😂 เราซื้อมา 3 Euro
Checkpoint Charlie ในอดีตเคยเป็นจุดตรวจผ่านแดนที่กั้นระหว่างเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก มีอย่างนึงเราไม่เข้าใจว่าทำไมถึงให้เราถ่ายกันเองกับฉากที่วางไว้ไม่ได้ คือ ถ้าเราอยากได้ภาพตัวเรากับฉากที่เขาวางไว้ จะต้องให้ผู้ชายคนนึงถ่ายรูปให้ แล้วก็จ่ายเงินให้เขา ซึ่งไม่รู้เท่าไร แต่ก็มีคนต่อแถวเรื่อยๆ อยู่ ใครอยากได้จริงๆ ก็มาถ่ายได้ น่าจะต้องพกเงินสดไว้
Museum Island เราไม่ได้เข้าชมอะไรบริเวณนี้ มีแต่เดินรอบๆ ตรงนี้จะเป็นแบบเกาะเล็กๆ ใจกลางเมือง มีสะพานสั้นๆ ข้ามแม่น้ำที่ไม่ได้กว้าง บริเวณนี้จะมีพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง The Pergamon Museum, The Bode Museum, The Neues Museum, The Alte Nationalgalerie และ The Altes Museum และก็ยังเป็นที่ตั้งของ Berlin Cathedral
Alexanderplatz จัตุรัสสาธารณะขนาดใหญ่และศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งในใจกลางย่าน Mitte รายล้อมด้วยร้านค้า และร้านอาหาร มาถึงที่นี่เราขอแนะนำร้าน Berlincurrys แนะนำให้สั่ง currywrust กับ เบียร์ Beck's Lager สุดยอดอร่อยมากกก😍 Highly recommended เราสั่ง currywrust สองรอบกับเบียร์ 1 ขวด เสียไป 8.5 Euro คิดแล้วก็อยากกลับไปกินอีก
Urban Nation เราไม่รู้จะไปเดินเล่นไหนต่อดี พอรู้ว่าหอศิลป์นี้ เข้าฟรี ถึงแม้จะไกลจากตัวเมือง ก็จะเดินไป ไม่อยากนั่งรถ ประหยัดเงิน เพราะไม่รู้จะทำอะไรแล้ว 55555 ก็ถือว่าเดินเล่นชมเมืองชั้นนอก ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยสำหรับนิทรรศการสตรีทอาร์ต ประติมากรรม และภาพถ่าย มีสองชั้น ถึงแม้เราดูแล้วจะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม แต่ก็คิดว่าสวยดี
สถานที่อยากแนะนำ นอกเหนือจากที่เราไป
Mauerpark ตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในเบอร์ลินเปิดทุกวันอาทิตย์ เวลา 8.00 - 17.00 น.
East Side Gallery กำแพงเบอร์ลินที่เป็นอนุสรณ์เพื่อแสดงอิสรภาพ โดยมีภาพวาดมากกว่า 100 ชิ้นจากศิลปินทั่วโลก
Volkspark Friedrichshain เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเขตเมือง
ค่าใช้จ่าย
ค่าจองที่นั่งรถไฟไปเบอร์ลิน 4.09 Euro (148 บาท)
ที่พัก 3 คืน 73.11 Euro (2,646 บาท)
ค่ากิน 43.47 Euro (1,573 บาท)
ค่าโดยสาร 4 Euro (144 บาท)
*ไม่รวม Eurail Pass ที่เหมาจ่ายไป 356 Euro
** ใช้เรท 36.2 บาท ต่อ Euro
สิ่งที่อยากบอก
- ถ้าเดินทางเที่ยวคนเดียวแล้วพักโฮสเทล แนะนำให้หาโฮลเทลที่มีห้องส่วนกลาง โดยเฉพาะห้องครัว เพราะนั่นจะเป็นจุดที่ทำให้เราพบเจอ และพูดคุยกับผู้คนที่พักที่เดียว
- การใช้ตู้ล็อคเกอร์ตามพิพิธภัณฑ์ อย่าลืมพกเหรียญไปด้วย เพราะต้องใส่เหรียญให้กุญแจล็อคใช้ได้ อารมณ์เหมือนมัดจำเงิน
- จุดถ่ายรูป Checkpoint Charlie ต้องเสียเงิน
- อย่าลืมกิน currywrust แนะนำอย่างมาก โดยเฉพาะร้าน Berlincurrys แถว Alexanderplatz
- แนะนำให้กิน Pretzel เป็นขนมของเยอรมัน แต่ว่าอย่าซื้อแถวประตูบรันเดินบวร์ค ที่เป็นร้านตรงทางเดินตรงกลาง เพราะขายแพง คือ ร้านนี้ขายตั้ง 3 Euro แต่จริงๆ แล้วไม่ควรเกิน 2 Euro ด้วยซ้ำ ร้านดังๆ แค่ ยูโรกว่าๆ เอง แล้วก็จะโกงเงินทอนเราด้วย เราจ่ายแบงค์ 50 Euro แต่ทอนเรา 42 Euro ยัดแบงค์ยับๆ มาให้ เราก็มาคลี่นับเอา ก็ขาดแบงค์ 5 Euro อีกใบ อันนี้ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจไหม แต่ก็อยากให้ระวังไว้
ติดตามต่อได้ในตอน Hamburg, Germany (ฮัมบูร์ก, เยอรมัน)